ตับอักเสบเป็นภาวะการอักเสบที่เกิดบริเวณตับ อาจเกิดจากจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือสาเหตุอื่น ๆ อย่างการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก การใช้ยาเสพติด ผลข้างเคียงจากการใช้ยา การได้รับสารพิษ โรคอ้วน และกลุ่มอาการเมตาบอลิค รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันทำลายตับเอง ทำให้ตับเกิดความเสียหายจนเกิดอาการป่วยต่าง ๆ ตามมา หากตับอักเสบอย่างเรื้อรัง อาจทำให้การทำงานของตับผิดปกติ เกิดโรคตับแข็ง หรือเสี่ยงเป็นมะเร็งตับได้

อาการของตับอักเสบ สามารถแบ่งตามอาการ ได้ 2 ประเภท ดังนี้
1. ตับอักเสบเฉียบพลัน อาจไม่ปรากฏอาการอย่างชัดเจน ผู้ป่วยอาจไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคตับอักเสบ แต่หากป่วยจนอาการกำเริบ อาจสังเกตพบอาการได้ ดังต่อไปนี้
- รู้สึกเหนื่อย เมื่อยล้าตลอดเวลา
- ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ
- รู้สึกไม่สบาย มีไข้สูงตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป
- ปัสสาวะสีเข้ม
- อุจจาระสีซีด
- ปวดท้อง
- เบื่ออาหาร
- คันตามผิวหนัง
- น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ภาวะดีซ่าน หรือมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง
2. ตับอักเสบเรื้อรัง อาจไม่พบอาการชัดเจนใด ๆ จนกระทั่งตับเริ่มทำงานได้ไม่เต็มที่หรือมีภาวะตับวาย ซึ่งอาจตรวจพบได้จากผลการตรวจเลือด หรือผู้ป่วยอาจมีอาการปรากฏในระยะต่อมา เช่น
- ภาวะดีซ่าน
- ขา เท้า และข้อเท้าบวม
- รู้สึกสับสน
- อาเจียนหรืออุจจาระเป็นเลือด
- สาเหตุของตับอักเสบ
- ตับอักเสบอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
- ตับอักเสบจากเชื้อไวรัส


ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดตับอักเสบ ได้แก่
- ไวรัสตับอักเสบ เอ เป็นไวรัสตับอักเสบชนิดที่พบได้บ่อยในประเทศที่มีระบบสาธารณะสุขไม่ดี เกิดจากการรับเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (Hepatitis A Virus: HAV) ผ่านทางการรับประทานอาหารหรือการดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสซึ่งออกมาจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ โดยประเทศกำลังพัฒนาจะมีการแพร่กระจายเชื้อมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว
- ไวรัสตับอักเสบ บี สามารถติดต่อผ่านทางเลือดหรือของเหลวในร่างกาย จากแม่สู่ลูก จากการมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี (Hepatitis B Virus: HBV) พบได้มากในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยด้วย
- ไวรัสตับอักเสบ ซี เกิดจากการได้รับของเหลวจากร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี (Hepatitis C Virus: HCV) โดยตรง ทั้งจากการมีเพศสัมพันธ์ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ หรือติดต่อผ่านทางเลือดจากแม่สู่ลูก ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี ประมาณ 70-85% อาจป่วยเรื้อรังและเผชิญปัญหาสุขภาพระยะยาว หรืออาจป่วยถึงขั้นเสียชีวิตได้
- ไวรัสตับอักเสบ ดี เป็นชนิดที่รุนแรงและพบได้น้อย เกิดจากการรับเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดดี (Hepatitis D Virus: HDV) จากเลือดของผู้ที่ติดเชื้อโดยตรง และเกิดขึ้นกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เท่านั้น เพราะไวรัสตับอักเสบชนิดดีไม่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้หากไม่มีไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย
- ไวรัสตับอักเสบ อี เป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดอี (Hepatitis E Virus: HEV) จากการบริโภคน้ำดื่มหรืออาหารที่มีอุจจาระที่ติดเชื้อปนเปื้อนอยู่ พบได้ในประเทศแถบเอเชีย ตะวันออกกลาง อเมริกากลาง และแอฟริกา โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีปัญหาด้านสาธารณสุข ระบบจัดการน้ำไม่ดี น้ำดื่มปนเปื้อน หรือการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการปรุงสุกเพื่อฆ่าเชื้อก่อน
- ตับอักเสบจากยาและสารพิษ การใช้ยาเกินปริมาณและระยะเวลาที่กำหนด หรือแม้แต่การใช้ยาบางชนิดในปริมาณน้อยก็อาจสร้างความเสียหายต่อตับได้ เช่น ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของพาราเซตามอล ยากลุ่มเอ็นเสด ยาคุมกำเนิด ยาแก้อักเสบอะม็อกซีซิลลินที่มีส่วนผสมของคลาวูลาเนท ยากลุ่มซัลฟา ยากลุ่มสแตติน ยาอะมิโอดาโรน ยาอะนาบอลิกสเตียรอยด์ ยาคลอร์โปรมาซีน ยาอิริโทรมัยซิน ยาเมทิลโดปา ยาไอโซไนอาซิด ยาเมโธเทรกเซท ยาเตตราไซคลีน และยากันชักบางชนิด เป็นต้น
- การได้รับสารเคมีบางชนิดเข้าสู่ร่างกาย ก็อาจทำให้ตับอักเสบได้ เช่น สารคาร์บอนเตตระคลอไรด์ สารกำจัดศัตรูพืชพาราคว็อท และสารโพลีคลอริเนตไปฟีนิล รวมถึงสมุนไพรและอาหารเสริมบางชนิดก็อาจมีพิษต่อตับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากบริโภคไม่ถูกวิธี เช่น ว่านหางจระเข้ แบลคโคฮอส คอมเพรย์ อีเฟรดา คาวา เป็นต้น
- ตับอักเสบจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานผิดพลาด โจมตีและขัดขวางการทำงานของตับ ทำให้ตับเสียหายจนอาจเกิดการอับเสบตั้งแต่ชนิดไม่รุนแรงจนถึงขั้นรุนแรง โดยสาเหตุนี้มีโอกาสเกิดขึ้นกับเพศหญิงได้มากกว่าเพศชายประมาณ 3 เท่า
- ตับอักเสบจากการดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากอาจเป็นเหตุให้ตับเกิดความเสียหายหรืออักเสบได้ เพราะแอลกอฮอล์จะทำลายเซลล์ตับ หากปล่อยไว้นานและไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ตับเสียหายถาวร นำไปสู่ภาวะตับวายและโรคตับแข็งได้
- ตับอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอลล์ หรือ NASH (Nonalcoholic Steatohepatitis) เป็นภาวะตับอักเสบที่เกิดจากไขมันพอกตับ มักไม่ค่อยพบอาการแสดง หรืออาการแสดงอาจปรากฏขึ้นเมื่อตับอักเสบเข้าสู่ภาวะที่รุนแรงขึ้น ซึ่งทำให้มีอาการ เช่น เมื่อยล้าอ่อนแรงอย่างหนัก น้ำหนักลดโดยหาสาเหตุไม่ได้ ปวดท้องด้านขวาบนบริเวณใต้ชายโครง ภาวะดีซ่านหรืออาการตัวเหลืองตาเหลือง เป็นต้น และภาวะนี้อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่ตับจนนำไปสู่โรคตับแข็งได้ในที่สุด ดังนั้น ทัศนคติของบุคคลทั่วไปที่ว่าตนไม่ได้ดื่มแอลกอฮอลล์อย่างหนักก็ไม่น่าจะเป็นโรคตับอักเสบหรือตับแข็งได้ จึงไม่เป็นความจริง โดยภาวะ NASH พบได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในประชากรปัจจุบัน จากสถิติของประเทศที่มีประชากรจำนวนมากอย่างสหรัฐอเมริกา พบว่า 2- 5 % ของชาวอเมริกันป่วยด้วยภาวะ NASH ซึ่งการดำเนินโรคเริ่มจากการเกิดไขมันสะสมในตับ จากนั้นอาจมีปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ พังผืด และการตายของเซลล์ตับ โดยมีผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยโรคอ้วน โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง และภาวะความดันโลหิตสูง เป็นต้น
การตรวจหาภาวะตับอักเสบ
ภาวะตับอักเสบมักไม่มีอาการแสดงออกให้รู้ตัว ผู้ป่วยส่วนใหญ่ตรวจพบได้จากการตรวจสุขภาพประจำปีแล้วพบว่ามีค่าเอนไซม์ตับสูงผิดปกติ หรือสังเกตุอาการบ่งชี้อื่นๆ เช่น เจ็บหรือปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงด้านขวา คลำพบตับโต ท้องบวม และอาจมีการทดสอบอื่น ๆ เพื่อวินิจฉัยตับอักเสบร่วมด้วย เช่น
- การตรวจเลือด เพื่อหาค่าเอนไซม์ตับ ตรวจสารต้านภูมิคุ้มกัน เพื่อหาสาเหตุของตับอักเสบจากเชื้อไวรัส หรือตรวจการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต้านตนเอง เป็นต้น
- การตรวจอัลตราซาวด์ เป็นการใช้คลื่นเสียงสร้างภาพอวัยวะภายในช่องท้อง เพื่อดูลักษณะของตับ ขนาดของตับ ความเสียหายของตับ เนื้องอกในตับ ความผิดปกติของถุงน้ำดี และระดับของเหลวภายในช่องท้อง
- การตรวจชิ้นเนื้อ แพทย์อาจใช้อัลตราซาวด์เพื่อนำทาง แล้วเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อจากตับด้วยการใช้เข็มจิ้มผ่านทางผิวหนัง เพื่อตรวจหาความผิดปกติของเซลล์และการอักเสบของตับในห้องปฏิบัติการต่อไป
การป้องกันตับอักเสบ
ตับอักเสบบางชนิดอาจไม่สามารถป้องกันได้ เช่น ตับอักเสบจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันมากเกินไป แต่ตับอักเสบจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น ตับอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส หรือตับอักเสบจากการดื่มสุราปริมาณมาก อาจป้องกันได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- รักษาสุขอนามัย ล้างมือให้สะอาด
- ไม่ใช้เข็มฉีดยา มีดโกน แปรงสีฟัน แก้วน้ำ ช้อนส้อม และของใช้ส่วนตัวอื่น ๆ ร่วมกัน
- ไม่สัมผัสเลือดหรือของเหลวจากผู้ที่ติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงแหล่งน้ำที่อาจมีการปนเปื้อนเชื้อไวรัส เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อไวรัสตับอักเสบ
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ไวรัสตับอักเสบบี ซี และดีสามารถติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์ การสวมถุงยางอนามัยจะช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ด้วย
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และถูกหลักโภชนาการในปริมาณที่เหมาะสม โดยเน้นบริโภคอาหารจำพวกผัก ผลไม้ โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารที่มีเกลือหรือน้ำตาลในปริมาณมาก และหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เพื่อป้องกันการสะสมของไขมันในตับ
- รับประทานอาหารอย่างระมัดระวัง เลือกรับประทานอาหารปรุงสุก ดื่มน้ำต้มหรือน้ำสะอาด โดยเฉพาะเมื่อเดินทางไปต่างถิ่น ควรระมัดระวังเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบต่าง ๆ
- ฉีดวัคซีน อาจช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอและบีได้ โดยปกติเด็กจะได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่แรกเกิด แต่เด็กอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ อาจต้องตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันก่อนรับวัคซีน ในประเทศไทยสามารถติดต่อขอรับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ อาจมีค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับแต่ละสถานพยาบาล
- ลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้ตับได้พักจากการทำงานหนัก และป้องกันความเสี่ยงการเกิดตับอักเสบจากการดื่มแอลกอฮอล์
- ใช้ยาตามที่แพทย์กำหนด ควรปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ทุกครั้งในการใช้ยา ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์หากอยู่ระหว่างการรับประทานยารักษาโรค และควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทุกครั้ง หากเป็นโรคตับหรือกำลังใช้ยาอื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ป่วยเอง
- เลือกอาหารเสริมอย่างรอบคอบ หากต้องการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนบริโภคผลิตภัณฑ์ใด ๆ เสมอ เนื่องจากยา อาหารเสริม หรือแม้กระทั่งสมุนไพร อาจส่งผลต่อการดูดซึมของตับที่เปลี่ยนสารเหล่านี้ไปใช้งานในร่างกาย หากสารที่ได้รับเป็นอันตรายต่อตับ อาจนำไปสู่อาการป่วยหรือทำให้โรคที่ป่วยอยู่แย่ลงได้ ดังนั้น ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์มีความน่าเชื่อถือ มีมาตรฐานองค์การอาหารและยารับรอง นำเข้าหรือผลิตอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ มีมาตรฐานการผลิตสูง เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชนิดนั้นจะช่วยดูแลบำรุงตับได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
GREEN-L กรีนแอล สารสกัดจากธรรมชาติบำรุงตับ ฟื้นฟูตับอักเสบ

ช่วยบำรุง ฟื้นฟู เสริมสร้างการทำงานในระดับเซลล์ของตับ สำหรับผู้ที่ดื่มสุรา และช่วยบำรุงกระตุ้นการทำงานของตับ กระตุ้นการหมุนเวียนของระบบเลือดในร่างกาย ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น กำจัดความสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ ลดการทำลายเซลล์ตับจากสารพิษอยู่เสมอ
สรรพคุณ กรีนแอล Green L ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุง ดีท๊อคซ์ตับ ฟื้นฟูตับอักเสบ
- ช่วยขับล้างสารพิษ และลดการสะสมสารพิษในร่างกาย
- ลดการสะสมไขมันเนื้อในตับ
- ป้องกันตับและลดการสะสมสารพิษในตับ
- เสริมสร้างและกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย
- มีส่วนประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระ
- ดึงเอาของเสียออกจากกระแสเลือด
- บำรุงเซลล์ตับให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- บำรุงตับและถุงน้ำดีให้กำจัดไขมันได้ดีขึ้น
- กำจัดไขมันที่สะสมในระบบทางเดินอาหารและกระแสเลือด
- ช่วยให้ผิวสดใสขึ้นลดการเกิดสิว
- สุขภาพโดยรวมดีขึ้น
GREEN-L กรีนแอล ดีท้อกซ์ตับ ล้างพิษตับ ฟื้นฟูตับอักเสบ
หากมีภาวะค่าตับสูง ตับอักเสบ ควรดีท้อกซ์ตับ ล้างพิษตับ บำรุงและฟื้นฟูตับให้กลับมาเป็นปรกติโดยเร็ว เราสามารถดีท็อกซ์ตับ ล้างพิษตับ ได้ตลอดเวลา และทุกช่วงอาการของโรคตับ แม้แต่ระยะตับปรกติ ก็ควรล้างพิษตับเพื่อป้องกันอนุมูลอิสระ การสะสมของไขมันและสารพิษต่างๆ
GREEN-L กรีนแอล ดีท้อกซ์ตับ ล้างพิษตับ ฟื้นฟูตับอักเสบ
ผลลัพธ์ที่ได้จากการล้างพิษตับด้วย Green L
- ซ่อมแซมเซลล์ตับ บำรุงเซลล์ตับให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
- พิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ ให้เซลล์ตับ
- สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตับ เพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง
- ลดการสะสมของไขมันที่ตับ และลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
- ช่วยฟื้นฟูและบำรุงตับจากความเสียหายที่เกิดจากพิษที่สะสมในตับ หรือไขมันเกาะตับ(ไขมันพอกตับ)
- ฟื้นฟูผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ ตับแข็ง ไขมันพอกตับ ตับอักเสบ
- ช่วยลดขนาดของนิ่วในถุงน้ำดี
- ช่วยขจัดสิ่งสกปรกของเสียได้มากขึ้น เพื่อให้กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย โดยเฉพาะคนที่ดื่มเหล้า สูบบุรี่ จะสังเกตุได้ว่าจะมีผิวพรรณแห้งกร้าน ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใสเปล่งปลั่ง
- ช่วยกระตุ้นตับให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- กำจัดไขมันออกจากระบบทางเดินอาหารและกระแสเลือด
- ช่วยบำรุงตับและถุงน้ำดีทำให้การกำจัดไขมันเกาะตับที่ตกค้างได้ดียิ่งขึ้น ผิวสดใสขึ้น ลดหมองคล้ำและแห้งกร้าน สุขภาพผิวดีขึ้น
ปรึกษาอาการ / สอบถามข้อมูล
โทร.0946246509
ไปที่หน้าแรก