ไวรัสตับอักเสบ
ไวรัสตับอักเสบบี
ไวรัสตับอักเสบบี สามารถติดต่อทางเลือด และสารคัดหลั่งอย่างอื่น เช่น น้ำเหลือง โดยสามารถรับเชื้อได้โดยวิธีดังต่อไปนี้
- การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- การใช้เข็มสักตามตัวหรือสีที่ใช้สักตามตัวร่วมกัน และการเจาะหู
- การใช้แปรงสีฟัน มีดโกน ที่ตัดเล็บร่วมกัน
- การติดเชื้อขณะคลอดจากแม่ที่มีเชื้อ (ถ้าแม่มีเชื้อลูกมีโอกาสได้รับเชื้อ 90%)
- การสัมผัสกับเลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง โดยผ่านเข้าทางบาดแผล
การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี คือ การสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยการฉีดวัคซีนป้องกัน จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นในคนส่วนใหญ่ ซึ่งปกติถ้ามีภูมิแล้วจะป้องกันการติดเชื้อได้ตลอดชีวิต

- สามี-ภรรยา คนใดคนหนึ่งที่มีภูมิคุ้มกันแล้ว สามารถกินอยู่หลับนอนด้วยกันได้ตามปกติ โดยไม่ติดเชื้อไปสู่อีกฝ่าย
- ปัจจุบันทารกแรกเกิดทุกคนจะได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่แรกคลอด หลังฉีดวัคซีนครบ 3 เข็มแล้วเกือบทั้งหมดจะมีภูมิคุ้มกัน
- เราสามารถตรวจภูมิคุ้มกันได้โดยการตรวจเลือด
- คนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันจำเป็นจะต้องระวังการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์และทางเลือด
- อย่างไรก็ดี เชื้อนี้จะไม่ติดต่อกันทางลมหายใจ อาหารหรือน้ำดื่ม การให้นม และการจูบกัน (ถ้าปากไม่มีแผล)

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี
แบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ
1.ระยะเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการภายใน 1-4 เดือนหลังติดเชื้อ ดังนี้
- อาการไข้ ตัวเหลืองตาเหลือง ปวดท้องใต้ชายโครงขวา
- อาการอื่นๆ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ผื่น ปวดข้อ
- ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรง เกิดจากการที่เซลล์ตับถูกทำลายเป็นจำนวนมาก ในกรณีนี้อาจทำให้เกิดภาวะตับวายได้
- อาการตับอักเสบระยะเฉียบพลันจะดีขึ้นใน 1-4 สัปดาห์ และจะหายเป็นปกติเมื่อร่างกายสามารถกำจัดและควบคุมเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ ซึ่งมักใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือน แต่ผู้ป่วยส่วนน้อย (5-10%) ไม่สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้หมด ทำให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง

2.ระยะเรื้อรัง แบ่งผู้ป่วยได้เป็น 2 กลุ่มคือ
- พาหะ คือ ผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแต่สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ ผลการตรวจเลือดพบค่าการทำงานของตับอยู่ในเกณฑ์ปกติ ดังนั้นก่อนแต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์ควรตรวจหาไวรัสตับอักเสบบีก่อน
- ตับอักเสบเรื้อรัง คือ ผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย และตรวจเลือดพบค่าการทำงานของตับผิดปกติ ผู้ป่วยส่วนมากมักไม่มีอาการ บางรายอาจมีอาการอ่อนเพลียหรือเบื่ออาหารได้ การติดเชื้อแบบเรื้อรังพบบ่อยในเด็กที่ติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด


การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบบี
ทำได้โดยวิธีต่อไปนี้
- เจาะเลือดตรวจค่าการทำงานของตับ (liver function test)
- เจาะเลือดตรวจเชื้อไวรัสตับอักเสบบี การวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ต้องเจาะเลือดตรวจซ้ำอีกครั้งหลังจาก 6 เดือน หลังจากวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลัน หากพบว่าร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ จึงจะวินิจฉัยว่าเป็น “โรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง
- การตัดชิ้นเนื้อจากตับไปตรวจ การตรวจนี้ไม่ได้ทำในผู้ป่วยทุกราย ทำเฉพาะในผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังที่ต้องการติดตามการดำเนินไปของโรค เช่น ต้องการทราบภาวะพังผืดในตับและการอักเสบของเซลล์ตับ ซึ่งจะมีผลในการเริ่มต้นการรักษา หรือสงสัยมะเร็งตับ เป็นต้น
การป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
ป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน ผู้ที่ควรฉีดวัคซีนมากที่สุดคือ เด็กแรกเกิด สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ส่วนใหญ่มีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อแล้ว ผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้วหรือมีภูมิต้านทานแล้วไม่ต้องฉีดวัคซีน การฉีดวัคซีนต้องฉีดให้ครบชุดจำนวน 3 เข็ม หลังจากนั้นวัคซีนจะกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานขึ้นในร่างกาย

การปฏิบัติตัวเมื่อติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
หากมีการตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลัน ควรดูแลตนเองและระมัดระวังการแพร่เชื้อไปสู่คนใกล้ชิด โดยวิธีการปฏิบัติตัวหากมีเชื้ออยู่ในร่างกายทำได้ดังนี้
- ไม่ต้องกังวล ตับอักเสบเฉียบพลันชนิดบี ส่วนใหญ่จะหายได้เองและมีภูมิคุ้มกันตามมา
- รับประทานยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- รับการตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพราะการตรวจเลือดจะทำให้ทราบว่าตับมีการอักเสบมากหรือน้อย
- บอกให้คนใกล้ชิดทราบ เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี หากคนใกล้ชิดนั้นไม่มีภูมิคุ้มกัน
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการสวมถุงยางอนามัย
- งดบริจาคเลือด
- ไม่ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
- พักผ่อนให้เพียงพอทั้งร่างกายและจิตใจ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- รับประทานทั้งข้าว เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ ในปริมาณที่พอเหมาะทุกวัน
- รับประทานอาหารสุกและสะอาด ลดการรับประทานอาหารไขมันสูง เนื้อสัตว์รมควัน และเนื้อสัตว์ที่ไหม้จนเกรียม หรืออาหารที่เก็บถนอมไว้นานๆ ไม่รับประทานอาหารหรือส่วนประกอบของอาหารที่มีเชื้อราขึ้น เช่น ถั่วลิสงป่นที่เก็บไว้นานๆ อาหารที่ใส่ดินประสิว อาหารหมักดอง เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม แหนม ปลาร้า ผักดอง ไส้กรอก เบคอน แฮม ฯลฯ และเครื่องกระป๋องต่างๆ ทั้งนี้อาหารประเภทแหนม ปลาร้า เมื่อจะรับประทานต้องทำให้สุกเสียก่อน เนื่องจากอาหารเหล่านี้อาจส่งเสริมทำให้ตับทำหน้าที่บกพร่องมากขึ้น
- ควรตรวจร่างกายและตรวจเลือดหาระดับสารบ่งบอกมะเร็งตับ AFP (alpha-fetoprotein) และทำอัลตราซาวนด์ช่องท้องสม่ำเสมอทุกปีในกลุ่มเสี่ยง เช่น มีภาวะตับแข็ง เพศชายอายุมากกว่า 45 ปี เพศหญิงอายุมากกว่า 50 ปี และมีประวัติมะเร็งตับในครอบครัว เพื่อหามะเร็งตับในระยะเริ่มแรก อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- เมื่อต้องรับการผ่าตัดหรือทำฟันควรแจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบ
- หญิงตั้งครรภ์และคลอดบุตร ควรฉีดวัคซีนให้บุตรภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
- ลดความเครียดและความกังวลให้น้อยลง

ไวรัสตับอักเสบ ซี
เชื้อไวรัสชนิดนี้มีขนาดเล็กมาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการใด ๆ ในกรณีที่ติดเชื้อจากการได้รับเลือด จะมีระยะฟักตัวประมาณ 6 - 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนเพลีย และบางครั้งอาจเป็นโรคดีซ่าน ซึ่งจะต้องตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของตับ เพราะตับของผู้ป่วยทุกรายจะทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะการตรวจหาระดับ SGOTและ SGPT
ปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 15 เท่านั้นที่สามารถกำจัดไวรัสออกไปจากร่างกายได้ ส่วนอีกร้อยละ 85 จะมีอาการเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้จะไม่มีอาการ หรืออาจมีเพียงอ่อนเพลียเล็กน้อยเท่านั้น และหากเป็นเรื้อรังก็จะค่อยๆกลายเป็นตับแข็งและมะเร็งตับในที่สุด
การติดต่อของไวรัสตับอักเสบ ซี
ไวรัสตับอักเสบซี สามารถติดต่อได้หลายทาง ได้แก่
- จากการรับเลือดและส่วนประกอบของเลือด
- ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- การสักตามร่างกาย เจาะหู ฝังเข็มรักษาโรค หากเครื่องมือไม่ได้รับการฆ่าเชื้อที่ถูกต้อง ก็อาจเป็นสาเหตุของการติดต่อได้
- ผู้ป่วยที่ฟอกเลือดล้างไตก็พบบ่อยขึ้น
- การติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- การติดต่อจากมารดาไปสู่ทารถพบได้แต่น้อยมาก
การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี
เราสามารถใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ ซี ได้
- ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี สามารถใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้โดยไม่มีผลกระทบต่อกันแต่อย่างใด เช่น การรับประทานอาหารร่วมกัน เป็นต้น
- เพศหญิงสามารถมีบุตรได้โดยการติดต่อไปยังทารถพบได้น้อยมาก และสามารถให้นมบุตรได้ตามปกติ
- ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถใช้ชีวิตและออกกำลังกายได้ตามปกติ แต่ต้องไม่ลืมพักผ่อนให้พอเพียง
- ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้ไวรัสแบ่งตัวมากขึ้นและตับเสื่อมเร็วขึ้น
- และควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจระดับ AST และ ALT เพื่อทราบระดับของการอักเสบ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ต้องตกใจกับระดับค่าที่วัดได้ เพราะไม่มีส่วนสัมพันธ์กับความรุนแรงของอาการอักเสบ เพราะโดยธรรมชาติ ไวรัสชนิดนี้จะมีระดับขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นปกติอยู่แล้ว หากแพทย์พบว่าตับท่านอักเสบ ต่อเนื่องอาจพิจารณาให้การรักษา ทำให้โรคหายขาดได้สูง
เมื่อเราได้ทำความรู้จักกับไวรัสตับอักเสบซีแล้ว อาจคลายความกังวลในด้านของการแพร่เชื้อได้ส่วนหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่เราควรหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อหาทางรักษาและป้องกันในกรณีที่ตรวจพบความผิดปกติได้อย่างทันท่วงที
GREEN-L กรีนแอล สารสกัดจากธรรมชาติบำรุงตับ ฟื้นฟูตับอักเสบ

ช่วยบำรุง ฟื้นฟู เสริมสร้างการทำงานในระดับเซลล์ของตับ สำหรับผู้ที่ดื่มสุรา และช่วยบำรุงกระตุ้นการทำงานของตับ กระตุ้นการหมุนเวียนของระบบเลือดในร่างกาย ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น กำจัดความสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ ลดการทำลายเซลล์ตับจากสารพิษอยู่เสมอ
สรรพคุณ กรีนแอล Green L ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุง ดีท๊อคซ์ตับ ฟื้นฟูตับอักเสบ
- ช่วยขับล้างสารพิษ และลดการสะสมสารพิษในร่างกาย
- ลดการสะสมไขมันเนื้อในตับ
- ป้องกันตับและลดการสะสมสารพิษในตับ
- เสริมสร้างและกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย
- มีส่วนประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระ
- ดึงเอาของเสียออกจากกระแสเลือด
- บำรุงเซลล์ตับให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- บำรุงตับและถุงน้ำดีให้กำจัดไขมันได้ดีขึ้น
- กำจัดไขมันที่สะสมในระบบทางเดินอาหารและกระแสเลือด
- ช่วยให้ผิวสดใสขึ้นลดการเกิดสิว
- สุขภาพโดยรวมดีขึ้น
GREEN-L กรีนแอล ดีท้อกซ์ตับ ล้างพิษตับ ฟื้นฟูตับอักเสบ
หากมีภาวะค่าตับสูง ตับอักเสบ ควรดีท้อกซ์ตับ ล้างพิษตับ บำรุงและฟื้นฟูตับให้กลับมาเป็นปรกติโดยเร็ว เราสามารถดีท็อกซ์ตับ ล้างพิษตับ ได้ตลอดเวลา และทุกช่วงอาการของโรคตับ แม้แต่ระยะตับปรกติ ก็ควรล้างพิษตับเพื่อป้องกันอนุมูลอิสระ การสะสมของไขมันและสารพิษต่างๆ
GREEN-L กรีนแอล ดีท้อกซ์ตับ ล้างพิษตับ ฟื้นฟูตับอักเสบ
ผลลัพธ์ที่ได้จากการล้างพิษตับด้วย Green L
- ซ่อมแซมเซลล์ตับ บำรุงเซลล์ตับให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
- พิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ ให้เซลล์ตับ
- สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตับ เพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง
- ลดการสะสมของไขมันที่ตับ และลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
- ช่วยฟื้นฟูและบำรุงตับจากความเสียหายที่เกิดจากพิษที่สะสมในตับ หรือไขมันเกาะตับ(ไขมันพอกตับ)
- ฟื้นฟูผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ ตับแข็ง ไขมันพอกตับ ตับอักเสบ
- ช่วยลดขนาดของนิ่วในถุงน้ำดี
- ช่วยขจัดสิ่งสกปรกของเสียได้มากขึ้น เพื่อให้กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย โดยเฉพาะคนที่ดื่มเหล้า สูบบุรี่ จะสังเกตุได้ว่าจะมีผิวพรรณแห้งกร้าน ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใสเปล่งปลั่ง
- ช่วยกระตุ้นตับให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- กำจัดไขมันออกจากระบบทางเดินอาหารและกระแสเลือด
- ช่วยบำรุงตับและถุงน้ำดีทำให้การกำจัดไขมันเกาะตับที่ตกค้างได้ดียิ่งขึ้น ผิวสดใสขึ้น ลดหมองคล้ำและแห้งกร้าน สุขภาพผิวดีขึ้น
ปรึกษาอาการ / สอบถามข้อมูล
โทร.0946246509
ไปที่หน้าแรก